เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568
เรื่อง พิจารณามหาสังสารวัฏ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับปลดปล่อย ปล่อยวางความเกาะความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ร่างกาย ปล่อยวางจนจิตเข้าถึงความสงบ เบา สบาย ปล่อยวางร่างกาย ผัสสะความรู้สึก ความห่วงความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า เมื่อเราปล่อยวางร่างกายขันธ์ห้าจนจิตรู้สึกถึงความสงบความเบาจากการปล่อยวาง เมื่อนั้นจิตเราก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าการปล่อยวางร่างกายตัดกายนั้น เป็นเรื่องง่ายเป็นเรื่องสบาย เป็นเรื่องที่ปล่อยวางแล้วจิตเราเป็นสุข ปล่อยวางจนจิตเข้าถึงความเบา ความว่าง ความสงบ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะแห่งความสงบจากการปล่อยวางไว้ ยิ่งปล่อยวางยิ่งสงบเบา
จากนั้นเดินจิตต่อไป ทรงอารมณ์สบาย จินตภาพเห็นภาพลมหายใจไหลเวียนเข้าออกในกาย ลมหายใจละเอียดเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจยิ่งเบายิ่งสงบ จิตยิ่งเข้าถึงฌานสมาบัติที่สูงขึ้นละเอียดขึ้นตามลำดับ
สติกำหนดรำลึกรู้ในลมหายใจตลอดสายตลอดทั้งกองลมนั้น ไม่ให้สติคลาดจากภาพนิมิตของกระแสลมที่ไหลเวียนผ่านเข้าออก ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา จิตยิ่งเข้าถึงความสงบเย็น ทรงสภาวะที่จิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่ละเอียดเบาสบาย ลมหายใจยิ่งละเอียด เบา จิตยิ่งเข้าถึงความสงบ เข้าถึงฌานในอุปจารสมาธิ
เมื่อจิตมีความสงบเบา ลมหายใจละเอียด มีความสบายใจ จิตก็ค่อยๆสะอาดจากนิวรณ์ทั้ง๕ประการ ตั้งกำลังใจว่า อารมณ์สบาย ลมหายใจสบาย ลมหายใจที่ละเอียดสงบเบานี้ เราทุกคนจะตั้งกำลังใจว่าให้เป็นอารมณ์ปกติของเรา ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทำงานก็ทำให้จิตที่มีความเบาสบาย ใช้สมาธิใช้ญาณเครื่องรู้ก็ใช้ในอารมณ์สบาย ลมหายใจเบาสบายนี้ เป็นอานาปานสติที่นับว่าเป็นวิหารธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของจิต ตั้งใจว่าให้เป็นอารมณ์ปกติของเรา และในลมหายใจสบายนี้ก็จะสามารถใช้เป็นฐานในการใช้อภิญญาสมาบัติ การทรงภาพพระก็ดี การสวดคาถาก็ดี การเสกเป่าพุทธมนต์ก็ดี ก็ใช้ลมที่ละเอียดเบาเป็นเพชรประกายพรึก
กำหนดจิตของเรา ทรงทั้งฌานสมาบัติและมีความชำนาญวสีเชี่ยวชาญในการใช้งานฌานสมาบัตินี้ ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ทั้งทางโลกและทางธรรม ปัญญาในการพิจารณาแก้ไขปัญหาในชีวิต ปัญญาพิจารณาตัดกองกิเลสในการเจริญวิปัสสนาญาณก็ใช้อารมณ์สบายนี้ ลมหายใจสบายนี้ ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ท่านจึงกล่าวไว้ว่าอานาปานสติถือว่าเป็นมงกุฎของพระกรรมฐาน ถือว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่ ถือว่าให้เป็นปกติของอารมณ์ใจเรา เป็นพื้นฐานสำคัญของการปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ทรงอารมณ์ที่ละเอียดเบาสบายสงบ กำหนดรู้ว่าเมื่อยามที่จิตเราสงบ สงบจากความห่วงความกังวลความวุ่นวายใจ สงบจากนิวรณ์ทั้งห้าประการ สงบจากความโลภโกรธหลงความวุ่นวายของโลกทั้งปวง ทรงอารมณ์ที่ลมหายใจละเอียดเบาสบายนี้ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะทรงฌานสมาบัติไว้
จากนั้นยกกำลังใจของเรา จากลมสบายขึ้นสู่สภาวะที่เป็นฌานสี่ในอานาปานสติ กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดจากการปรุงแต่ง หยุดเพื่อให้จิตเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ สงบนิ่ง หยุด ตั้งมั่น ทรงสภาวะแห่งการหยุดของจิต ความสงบระงับของลมหายใจ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ เอกัคคตารมณ์ ทรงสภาวะฌานสมาบัติในฌานสี่นี้ไว้ ให้มีความเสถียรตั้งมั่น ต่อเนื่องราบรื่น นิ่ง หยุด สงบ
เมื่อเราสงบนิ่งจนเกิดสภาวะทรงตัว เราก็เดินจิตจากอานาปานสติขึ้นสู่ฌานสมาบัติของกสิณอันเป็นบาทฐานของอภิญญาสมาบัติ สภาวะที่จิตเข้าถึงสมาธิที่สูงขึ้น มีจิตตานุภาพที่สูงขึ้น กำหนดน้อมนึกจินตภาพจากจุดที่หยุด จงปรากฏขยายขึ้นกลายเป็นดวงแก้วสว่าง เชื่อมโยงระหว่างนิมิตกับจิตของเรา จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตตานุภาพแห่งกสิณ อภิญญาสมาบัติของกสิณ เป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา
กำหนดจินตภาพเห็นจิตสว่างขึ้นใสขึ้นจนกลายเป็นเพชรประกายพรึก เป็นปฏิภาคนิมิต กำหนดเห็นจิตรู้สึกถึงความสว่างที่เปล่งประกายออกมาจากจิตที่เป็นเพชรประภัสสร ยิ่งจิตสว่างมีความสวยงามแพรวพราวเพียงใด จิตของเรายิ่งมีความอิ่มความสุขความชื่นบานเพิ่มขึ้นมากขึ้นเพียงนั้น
กำหนดน้อมพิจารณาให้จิตของเราเปล่งประกายที่สุด สว่างที่สุด ใสที่สุด จำอารมณ์กรรมฐาน จำนิมิต จิตมีสภาวะจำ เมื่อจิตเราจำอารมณ์ของกรรมฐานได้ จำได้ขึ้นใจ ทั้งความรู้สึกทั้งภาพนิมิต เมื่อนั้นในยามที่เราจะเข้าสู่อารมณ์ของพระกรรมฐานในจุดที่เราเคยทำได้ในกาลก่อน เราก็สามารถเข้าสู่อารมณ์จิตนี้ได้ทันที
กำหนดให้จิตประภัสสรขึ้นสว่างขึ้น เมื่อเราจำอารมณ์ของเก่าที่เราทำได้แล้ว เราฝึกทำซ้ำ ย้ำให้มากเข้าบ่อยเข้า จนจิตเกิดวสี คือความชำนาญเชี่ยวชาญในการเข้าอารมณ์พระกรรมฐานกองนั้นนั้น
ลำดับต่อไปที่เราจะต้องฝึกต่อ คือฝึกที่จะกลั่นจิต โดยกำหนดภาพให้ใสขึ้นสว่างขึ้น ซึ่งอันที่จริงการที่เรากลั่นจิต ถ้าเราทำช้าๆ ทำตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์หลายท่านที่เป็นบูรพาจารย์ได้สอนมา ท่านก็ให้กำหนดเพิกภาพเดิม จากที่ปกติใสสว่าง แสงมีประกายอยู่ในระดับหนึ่ง ให้เพิกภาพนั้นหายไปก่อน ซึ่งการที่เพิกภาพเดิมหายไปก่อน อันที่จริงตรงจุดนี้ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้เข้าสู่อรูปสมาบัติ คือเพิกรูปออกไป เมื่อเพิกรูปออกไปแล้วกำหนดรูปใหม่ขึ้นมา ก็เป็นการสลับระหว่างรูปสมาบัติกับอรูปสมาบัติ แต่การกลั่นจิตโดยใช้กระบวนการฝึกแบบนี้ เคล็ดลับในการฝึกก็คือ เมื่อเพิกรูปเก่าออกไป ภาพกสิณคือจิตดวงใหม่ที่ประภัสสรจะต้องมีความสว่างขึ้นกว่าเดิม ใสขึ้นกว่าเดิม มีอารมณ์ความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เรากำหนดเพิกภาพจิตภัสสรของเดิมออก จากนั้นกำหนดให้เกิดภาพนิมิตระเบิดเกิดขึ้นใหม่ สว่างขึ้นใสขึ้น อิ่มใจขึ้น จากนั้นเพิกภาพเดิมหายไป กำหนดจิตให้สว่างขึ้นใสขึ้น จิตยิ่งสว่างขึ้นมีกำลังขึ้น ซึ่งฐานของจิตเท่ากับเราฝึก เราได้ในอรูปสมาบัติไปพร้อมกันกับการกลั่นจิตให้ใส ซึ่งการที่เราทรงภาพสภาวะจิตในกสิณจิตให้ใสสว่างมากเพียงใด ผลลัพธ์ของการฝึกก็จะเชื่อมโยงต่อเนื่องในยามที่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิ ภาพ สภาวะ ญาณเครื่องรู้ ที่เกิดขึ้น ปรากฏขึ้นกับจิตของเรา ก็จะมีความสว่างมีความใสมีความชัดเจนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทุกสิ่งแห่งการฝึกฝนการปฏิบัติสามารถสอดประสานเชื่อมโยงส่งเสริมกันได้ทั้งหมด
เมื่อเราเข้าใจกระจ่างถึงเคล็ดลับถึงกระบวนการในการฝึก ถึงนัยยะที่แฝงอยู่ในคำสอนในการฝึกต่างๆ การปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานของเราก็ก้าวหน้าขึ้น ตั้งใจว่ายิ่งปฏิบัติยิ่งก้าวหน้ายิ่งเจริญในธรรม ยิ่งปฏิบัติยิ่งเจริญฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติยิ่งตั้งมั่นยิ่งกล้าแกร่งขึ้นตามลำดับ ยิ่งปฏิบัติจิตยิ่งมีความศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยเพิ่มพูนขึ้นยิ่งขึ้น จนไม่ถอยหลังกลับอีกต่อไป
กำหนดน้อมนึกเพิกภาพเก่า ให้ภาพดวงจิตเรายิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น จิตยิ่งเป็นสุขขึ้น จิตยิ่งเอิบอิ่มขึ้น เมื่อจิตเรามีกำลังมีฐานจากการที่เราได้ฝึกฝนได้เพาะบ่มจนมีความสว่างเต็มที่เต็มกำลังแล้ว เราก็ตั้งจิตน้อมรำลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิษฐานจิต ขออาราธนาภาพพุทธนิมิต คือองค์พระ ขอพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ทรงมาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับภาพนิมิตในจิตข้าพเจ้า ประดุจพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับอยู่ ขอภาพนิมิตของพระพุทธเจ้าปรากฏชัดเจนสว่างอย่างยิ่ง ใสอย่างยิ่งสว่างอย่างยิ่ง จิตเชื่อมโยงกับกระแสของพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณอย่างยิ่ง ภาพองค์พระสว่างกระจ่างชัดเจนแจ่มใส เมื่อภาพองค์พระชัดเจนในจิตของเราแล้ว เราก็ตั้งจิตอธิษฐาน กำหนดพิจารณาว่าเราปล่อยวางจากขันธ์ห้าร่างกาย เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคืออทิสมานกายที่อาศัยอยู่ในขันธ์ห้าร่างกายนี้ จิตและอทิสมานกายนั้นคือสิ่งเดียวกัน แต่จิตจะมีทรงเป็นรูป เป็นดวง เป็นทรงกลม เป็นพลังงานของบุญกุศลแสงสว่าง แต่เมื่อไรก็ตามที่จิตมีความเนื่องอยู่กับภพก็ดี หรืออยู่ในสภาวะที่สะอาดบริสุทธิ์จากสรรพกิเลสก็ดี จากจิตที่เป็นดวงแก้วที่เป็นแสงสว่างที่เป็นดวงกลม เป็นเพชรในยามที่จิตทรงอารมณ์แห่งฌานสมาบัติสูงสุด เมื่อเนื่องกับภพ หรือความบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส จากพลังงานที่เป็นดวงที่เป็นทรงกลมก็จะเกิดรูปเป็นอทิสมานกายหรือกายทิพย์ นาม อทิสมานกาย กายทิพย์ จิต ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ใช้ศัพท์คำอธิบายที่ต่างกันเท่านั้น
เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็กำหนดจิต ขอบารมีพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตของเราพุ่งขึ้นไปเป็นแสงสว่าง ขึ้นไปบนพระนิพพาน อธิษฐานจากดวงแก้วแสงพลังงานทรงกลม ก่อเกิดรูปขึ้นเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จากสภาวะที่จิตเราตัดขันธ์ห้าปล่อยวาง จิตเราตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน จิตมีความสะอาดจากกิเลส จิตเป็นอิสระจากพันธนาการเครื่องร้อยรัดของสังโยชน์ทั้งสิบประการ อธิษฐานจิต กำหนดตัวรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน
เมื่อขึ้นไปบนพระนิพพานแล้ว สิ่งแรกเราก็ฝึกฝน กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ รู้สึกว่าเราใส่เครื่องประดับเครื่องทรงอย่างไร มีแสงสว่างอย่างไร มีรัศมีกายอย่างไร ยิ่งเรารู้สึกถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพมากเท่าไร จิตเราก็ได้เรียนรู้ว่าเราไม่ใช่ขันธ์ห้าร่างกาย จิตเราก็ตัดจากขันธ์ห้าร่างกาย เพราะปัญญาความรู้ตื่นว่าเราคือกายทิพย์อทิสมานกายนี้ เมื่อเรารู้สึกในความเป็นอทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพแล้ว เราก็อธิษฐาน อาราธนาขอบารมีพระพุทธองค์เมตตาเสด็จมาสงเคราะห์ ขอจงปรากฏมหาสมาคม อาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน จากนั้นเราก็แยกอทิสมานกายกราบทุกท่านทุกๆพระองค์พร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งจิตกราบตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสิกขีทศพลที่หนึ่ง ด้วยความนอบน้อมเคารพ กราบด้วยความรู้สึกว่ากราบถึงแทบเบื้องพระบาทแทบตักของพระพุทธองค์ท่านโดยตรง กราบด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความเคารพ กราบด้วยอารมณ์จิตที่เคารพรักพระองค์ท่านอย่างสุดหัวจิตหัวใจ เมื่อกราบแล้วเราก็น้อมอารมณ์จิต กำหนดรู้ว่าการที่เรายกอทิสมานกายนี้ขึ้นมาบนพระนิพพาน การที่เราอาราธนาบารมีพระท่าน การที่เราขึ้นมาบนพระนิพพานบ่อยๆ มันแตกต่างจากการที่เราเป็นมนุษย์ ในยามที่เราเป็นมนุษย์มีกายเนื้อ เรามีอารมณ์คิดว่าการที่เราไปรบกวนผู้ใหญ่บ่อยๆ เป็นการรบกวนท่าน แต่สำหรับในการปฏิบัติในการเจริญพระกรรมฐาน เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ เราจะนึกวันหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านครั้ง เราจะยกจิตอทิสมานกายขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าเป็นร้อยครั้งพันครั้ง พระท่านกลับมีความยินดี ทำไมถึงบอกว่าพระท่านมีความยินดี เพราะเมื่อไรเรานึกถึงพระพุทธเจ้า จิตเราอยู่จิตเราตั้งมั่นอยู่กับกุศลเป็นอนุสติ อนุสติคืออารมณ์จิตที่เราหมั่นรำลึกนึกถึงทรงสติถึงสิ่งนั้นกรรมฐานกองนั้นไว้สม่ำเสมอ เล็กๆน้อยๆแต่ให้บ่อย อย่าลืมว่าการที่พระพุทธเจ้าทรงปรากฏโปรดเวไนยสัตว์ในสังสารวัฏนี้ นับตั้งแต่มหาปณิธานของพระโพธิสัตว์ มหาปณิธานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนเป็นไปเพื่อเกื้อกูลปรารถนาที่จะรื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ดังนั้นการที่เรายกจิตขึ้นมากราบท่านบนพระนิพพาน นึกถึงท่าน นั่นคือสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่อย่างน้อยมีดวงจิตที่รู้ตื่นขึ้น เป็นดอกบัวที่บานพร้อมจะรับกระแสธรรมะจากพระพุทธองค์ ยกอทิสมานกายขึ้นมากราบ ขึ้นมาฟังธรรม ขึ้นมาเจริญพระกรรมฐาน อยู่กับพระองค์บนพระนิพพาน ให้เราลองคิดดู ระหว่างจิตดวงหนึ่งหรือบุคคลบุคคลหนึ่ง ที่เป็นบุคคลที่ว่ายากสอนยาก เป็นบุคคลที่มีความดื้อดึง เป็นบุคคลที่มีความดื้อรั้นมีทิฐิ กว่าที่ท่านจะลากจะเข็นจะจูงจะใช้อุบาย จนบุคคลนั้นเข้าถึงกุศลเข้าถึงความดี พระองค์ต้องใช้ความเพียรมาก แต่กับดวงจิตหนึ่งที่เป็นบัวพ้นน้ำแล้ว พร้อมฟังธรรมแล้ว มีปัญญาเข้าใจกระจ่างในปณิธานมหาปณิธานของพระพุทธองค์แล้ว ว่า พระพุทธองค์ปรารถนาที่จะรื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพานให้ได้มากที่สุด เราเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานด้วยปัญญาที่เข้าใจประโยชน์ ซาบซึ้งในคุณแห่งพระนิพพานด้วยจิตของเราเอง ดังนั้นการที่เราขึ้นมาบ่อยมากเท่าไร อยู่กับพระพุทธเจ้านานเท่าไร ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นการรบกวนท่าน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกท่านบนพระนิพพานนับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมไปจนถึงพระอรหันต์ทุกพระองค์ ล้วนแล้วแต่โมทนาสาธุยินดีกับเรา ให้เรารำลึกว่าการยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน การพิจารณาปล่อยวางตัดสรรพกิเลสทั้งหลาย เจริญจิตตภาวนา เจริญพระกรรมฐานนั้น เรากำลังถวายเป็นปฏิบัติบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้าให้สมกับมหาปณิธานของพระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ ที่รื้นขนมวลเวไนยสัตว์เข้าสู่พระนิพพาน จิตเราพร้อมแล้วที่จะเข้าไปนิพพานชาตินี้ จิตเราพร้อมแล้วที่จะรับฟังธรรมคำสอนของพระพุทธองค์โดยตรง ดังนั้นสิ่งที่เราฝึกสิ่งที่เราปฏิบัติในการยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน จะมากจะถี่จะบ่อยจะนานสักประการใดก็ตาม เป็นสิ่งที่เป็นผลดีต่อตัวเราเอง แล้วก็เป็นสิ่งที่ทุกท่านบนพระนิพพานนี้ยินดี ในสภาวะความเป็นทิพย์นั้น จิตของพระพุทธองค์ท่านทรงแยกอทิสมานกายของพระองค์ท่านออกไปได้มากมายมหาศาลอย่างไม่มีประมาณ ในขณะที่ท่านสงเคราะห์เรา ท่านก็สงเคราะห์บุคคลอื่นจิตดวงอื่นด้วยเช่นกัน จิตทั้งหลายในสังสารวัฏนี้มีจำนวนมาก
ตอนนี้ก็ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ เราอยู่บนพระนิพพานแล้ว ก็ขอให้เกิดญาณทัศนะความเป็นทิพย์ของจิต ญาณเครื่องรู้ของใจ กำหนดรู้ให้จิตสามารถพอหยั่งถึง ว่ายังมีจิตทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้มากสักประการใด ขอให้จิตญาณเครื่องรู้ของเราได้รับรู้ได้มากตามกำลัง ตามวาสนาบารมี ตามกำลังขอบข่ายญาณที่เราสามารถกำหนดรู้ได้ จิตในสังสารวัฏมีจำนวนมหาศาล มากกว่าดวงดาวทุกดวงดาวในอนันตจักรวาล ยิ่งกว่าจำนวนเม็ดทรายทุกเม็ดของทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล กำหนดพิจารณาดูว่า แล้วจิตในสังสารวัฏนี้ที่เคยได้ประสบพบเจอพระพุทธเจ้าแม้เพียงพระองค์เดียว มีจำนวนมากจำนวนน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับจิตทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลในสังสารวัฏ แค่เพียงเจอพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว มากหรือน้อยก็ขอให้รู้ได้
จากนั้นกำหนดจิตพิจารณาต่อไปว่า และจิตทั้งหลายที่เคยพบเจอพระพุทธเจ้าแม้พระองค์เดียวซึ่งอาจจะมีบางดวงจิตได้พบเจอพระพุทธเจ้ามาสิบมาร้อยพระองค์แล้ว มาเป็นพันพระองค์แล้วก็ดี จิตทั้งหลายที่เคยพบเจอแม้พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว แต่เข้าใจมาปฏิบัติในธรรม นับตั้งแต่ที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือทานขึ้นไปจนถึงศีลภาวนา มีจำนวนมากจำนวนน้อยเท่าไร เมื่อเทียบกับบุคคลดวงจิตในสังสารวัฏนี้ที่พบเจอพระพุทธเจ้าแม้เพียงพระองค์เดียวในช่วงกาลแห่งสังสารวัฏของตน มีจิตศรัทธาในการมาปฏิบัติในทาน เอาเบื้องต้นที่สุดไล่ขึ้นไปจนถึงภาวนา
พิจารณาต่อไป แล้วบุคคลทั้งหลายที่น้อยลงไปอีก เข้าใจในภาวนา มาปฏิบัติในศีล มีจำนวนน้อยลงเพียงใด
กำหนดพิจารณาต่อไปว่า ทานศีลภาวนานั้น มีความสำคัญต่อการพัฒนาจิตดังนี้
การรู้จักให้ทานนั้นถือว่าเป็นปฐมบท เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักสร้างกุศล แต่บุคคลที่ให้ทานก็อาจจะเป็นบุคคลที่ไม่มีศีล การที่ยังไม่มีศีลก็ถือว่าเป็นบุคคลที่ยังมีการเบียดเบียนผู้อื่น ยังทำบาป ยังไม่ปิดอบายภูมิ
พิจารณาต่อไป ว่าในบุคคลทั้งหลายที่มีศีล แต่ยังไม่เจริญภาวนา มีจำนวนมากน้อยสักประการใด
พิจารณาต่อไปว่าการที่รู้จักทั้งการให้ทานก็คือการสร้างกุศล การมีศีลก็คือการรู้จักละอกุศล บุคคลที่ละอกุศลแล้ว แต่ยังไม่รู้จักการพัฒนาจิตให้เกิดความผ่องแผ้วเบิกบาน นั่นก็คือพิจารณาว่าบุคคลที่มีศีลแต่ยังไม่เจริญพระกรรมฐาน ยังไม่เจริญวิปัสสนา มีจำนวนมากน้อยสักประการใด คนที่เจริญพระกรรมฐานยิ่งมีน้อยลงไปอีก
กำหนดรู้ว่าการเจริญพระกรรมฐานนั้น เป็นการฝึกฝนฝึกหัดตน ให้จิตมีความสงบระงับจากนิวรณ์ห้า สงบระงับจากกิเลส บุคคลที่ฝึกสมาธิ ฝึกสมถะแต่ยังไม่เจริญวิปัสสนาญาณคือเจริญปัญญาเพื่อตัดกิเลสก็มีจำนวนน้อยลง ดังนั้นเราพิจารณาต่อไปว่าเมื่อไรที่พิจารณา จิตทั้งหลายที่ปฏิบัติจนถึงขั้นในการเจริญวิปัสสนาตัดกิเลสจำนวนน้อยลงไปอีก แต่จิตที่มีจำนวนน้อยนี้ก็มีความผ่องแผ้วเบิกบานขึ้น สงบระงับจากกิเลส จนกระทั่งถึงขั้นตอนที่เจริญวิปัสสนาญาณตัดกิเลสตัดสังโยชน์สิบ คนที่เจริญวิปัสสนาญาณแต่ยังไม่ปรารถนาพระนิพพานก็มีอีกมากมาย ในบรรดาบุคคลที่มาเจริญสมถะวิปัสสนาแล้วแต่จิตยังไม่ปรารถนาพระนิพพานก็มีมาก ปรารถนาพระนิพพานก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ปรารถนาพระนิพพานแล้วยกจิตยกอทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพานได้ ก็ยิ่งมีน้อยยิ่งกว่าน้อยลง ดังนั้นก็ให้เรากำหนดพิจารณา ในเมื่อเรานั้นปฏิบัติมาได้ถึงจุดนี้แล้ว ปฏิบัติจนเห็นคุณของพระนิพพานแล้ว เข้าใจนัยยะแห่งการปฏิบัติทั้งหลายจนค่อนข้างที่จะกระจ่างแจ้งแล้ว ฌานสมาบัติมีความทรงตัวคล่องตัวแล้ว เราจะละทิ้งโอกาสที่เราจะไปพระนิพพานชาตินี้
เมื่อพิจารณาแล้วก็กำหนดจิตทรงอารมณ์ทรงสภาวะให้ใจเราผ่องใส กายพระสุเทพเราสว่างกระจ่างแจ้งที่สุด อธิษฐานขอให้จิตของข้าพเจ้านี้ซาบซึ้งรู้คุณแห่งพระพุทธองค์ ซาบซึ้งรู้คุณของครูบาอาจารย์หลวงพ่อที่ท่านเมตตาสั่งสอนถ่ายทอดวิชชา ให้เรานั้น ปฏิบัติจนสามารถกระจ่างชัดในพระนิพพาน กระจ่างชัดในคุณของพระพุทธเจ้าอย่างที่สุด เราจะปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน จิตมั่นคงแนบอยู่กับพระนิพพาน
จากนั้นทรงอารมณ์ทรงสภาวะ กำหนดรู้สึกถึงจิตที่ประภัสสรสว่างขึ้นในกายพระวิสุทธิเทพนี้ กำหนดจิตของเรา พิจารณาตัดภพจบชาติ ความเป็นมนุษย์ เราไม่ปรารถนา ภพแห่งอบายภูมิ คือนับต่ำลงมาตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน โอปปาติกะสัมภเวสี เปรตอสุรกาย สัตว์นรก เราขอปิดอบายภูมิ ความเป็นมนุษย์ เราเห็นความทุกข์จากการมีร่างกายขันธ์ห้า เราเห็นความทุกข์จากการเบียดเบียนกันของมนุษย์ที่ยังมีกิเลส เราเห็นความวุ่นวาย เห็นสงคราม เห็นการกระทบกระทั่ง การเบียดเบียน การใส่ร้ายป้ายสี จิตเราเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเป็นมนุษย์ พิจารณา ว่าแม้ภพภูมิของการเป็นเทวดา ความเป็นพรหม ความเป็นอรูปพรหม ภพที่ยังเกี่ยวข้องกับกามฉันทะ ภพที่เกี่ยวข้องกับความสุขในฌานสมาธิที่เรียกว่ารูปราคะ ภพที่หลงที่ติดที่ยึดอยู่กับความสุขของอรูปพรหม อรูปฌาน ที่เรียกว่าอรูปราคะ จิตเราตัดสลายสังโยชน์ทั้งหลายเหล่านี้ออกไป พิจารณาอธิษฐาน เห็นสังสารวัฏ เห็นการเวียนว่ายตายเกิด เห็นชาติภพอันไม่มีประมาณของตน กำหนดรู้ด้วยความเป็นทิพย์ ขอญาณเครื่องรู้จงปรากฏ หากเราไม่ปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ ยังมีชาติภพที่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดนับเนื่องมหาศาลอย่างไม่มีประมาณ อธิษฐานขอให้เห็นว่ามีวาระกรรมอกุศลกรรมที่เราเคยทำในอดีตชาติก็ดี ในชาติภพนี้ก็ดี รอให้เราเสวยวิบากจะต้องไปเกิด ไปจุติ ไปรับโทษ ไปพบเจอกับเจ้ากรรมนายเวรที่เขารออยู่อีกมากมายเพียงไร ขอให้จิตข้าพเจ้าเกิดมหาปัญญาพิจารณาในสังสารวัฏแห่งจิตตน จนจิตนั้นเห็นโทษเห็นทุกข์เห็นภัยแห่งวัฏสงสาร แล้วตั้งจิตอธิษฐานให้เป็นสมุจเฉทปหานต่อการเวียนว่าย พิจารณาเพื่อความสิ้นภพจบชาติ เพื่อความดับไม่เหลือเชื้อ จิตตั้งมั่นปรารถนาพระนิพพานเป็นที่สุด อธิษฐานด้วยจิตผ่องใสสว่างที่สุด กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างผ่องใส
กำหนดพิจารณา เราได้เจริญวิปัสสนาญาณในมหาพิจารณาในสังสารวัฏ พิจารณาด้วยปัญญาอันกระจ่างแจ้ง พิจารณาดูว่ายังมีจำนวนมวลหมู่เวไนยสัตว์ที่ยังห่างไกลจากพระนิพพานอีกเป็นจำนวนมากมายสักประการใด และตอนนี้จิตเราได้ปฏิบัติมาถึงจุดใด พิจารณาจนจิตมีความยินดีในพระนิพพาน แล้วก็พิจารณาด้วยมหากรุณาจิต ว่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย ยังลุ่มหลงอยู่ในอวิชชาความไม่รู้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกมากมายมหาศาล เป็นงานที่พระพุทธองค์และเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะต้องดำเนินมหาปณิธานในการรื้อขนมวลสรรพสัตว์ในสังสารวัฏอีกอย่างไม่มีประมาณ ตั้งใจว่านับแต่นี้เราจะเป็นบุคคลที่ว่าง่ายสอนง่าย ไม่ทำตนให้เป็นภาระของพระพุทธองค์ ไม่เป็นภาระของหลวงพ่อ ไม่เป็นภาระของครูบาอาจารย์ มีความเพียร มีความขยัน มีความตั้งใจมั่นในการปฏิบัติ ในการฝึก ในการเจริญวิปัสสนาญาณ ปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อพระนิพพานชาตินี้ให้ได้ เมื่ออธิษฐานจิตดีแล้ว พิจารณากระจ่างแจ้งดีแล้ว เราก็ตั้งใจอาราธนากระแสบุญจากพระนิพพานน้อมรวมลงมา แผ่เมตตาให้กับทุกดวงจิตทั่วสังสารวัฏ แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณลงมายังอรูปพรหมทั้งสี่ รูปพรหมคือพรหมทั้ง 16 ชั้น อากาศเทวดาคือสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น แผ่เมตตาลงมายังรุกขเทวดาภูมิเทวดาทั่วทุกดวงดาวทั่วจักรวาล แผ่เมตตาน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังบรรดาดวงจิตของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อทั่วทั้งโลกทั่วทุกดวงดาว ทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตากระแสจากพระนิพพานลงมายังบรรดาโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย ชาวเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย ภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่เสวยกรรมอยู่ในนรกภูมิ แผ่เมตตาสว่างผ่องใส บุญกุศลน้อมรวมถึงทุกดวงจิตทั่วสังสารวัฏ
เมื่อแผ่เมตตาเมื่อจิตเราผ่องใสแล้ว เราก็น้อมกระแสบุญกุศลจากการเจริญพระกรรมฐาน อาราธนากำลังพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ลงมาประเทศไทยทั้งหมด และยันต์เกราะเพชรคลุมประเทศไทยทั้งหมด ธงพิชัยสงครามลงมาปรากฏเป็นกำแพงแก้วห้อมล้อมรอบขอบเขตดินแดนประเทศไทยทั้งหมด ขอเกิดเป็นกำแพงแก้วกำแพงเพชรอันเป็นทิพย์ มียันต์พิชัยสงครามประทับตลอดแนวอาณาเขตล้อมรอบแผ่นดินไทยทั้งหมด ตั้งกำลังใจว่าเราอาราธนาบารมีพระเพื่อพิทักษ์ดินแดนที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้ เป็นเขตที่จารึกพระศาสนาให้ดำรงคงอยู่ตราบห้าพันปี จิตชัดเจนว่าเราพิทักษ์แผ่นดินนี้ชาตินี้ สถาบันทั้ง 3 คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี้ เพื่ออะไร เพื่อให้ธรรมนั้นยังคงอยู่ เพื่อให้ธรรมนั้นยังคงหล่อเลี้ยงนำพาดวงจิตทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานได้ตลอดช่วงเวลาแห่งอายุพระพุทธศาสนานั้น
จากนั้นอาราธนากระแสธรรม กระแสพระนิพพาน กระแสโลกุตระ ลงมาสู่เขตของพุทธาวาสทั้งหมด วัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง ดวงจิตของพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในเพศอยู่ในเครื่องแบบใด ก็ขอให้กระแสธรรม กระแสมรรคผลสมาธิได้หลั่งไหลลงสู่ดวงจิตของทุกท่านทุกรูปทุกนาม ขอพุทธานุภาพได้น้อมรวมลงพระพุทธรูปทุกพระองค์ พระเครื่องทุกองค์ พระบรมสารีริกธาตุ ขอจงเกิดพระธาตุ ปาฏิหาริย์พระบรมธาตุ พระอัฐิธาตุ พระธาตุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในเขตพระพุทธศาสนา ขอจงเกิดกำลังพุทธานุภาพ เกิดปาฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ สร้างศรัทธาประสานความมั่นคงให้กับดวงจิตของผู้ที่ศรัทธา ผู้ที่ปฏิบัติตรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาด้วยเถิด
จากนั้นน้อมกระแสพุทธานุภาพลงมาพิทักษ์รักษาพระชนมวารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอกำลังบุญกุศลคุ้มครองรักษาพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร พระราชบัลลังก์ พระบรมมหาราชวัง พระตำหนักทุกแห่ง ตลอดจนถึงพระสยามเทวาธิราช เทวดาพรหมผู้อภิบาลรักษาในทุกเขตขามสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องในสถาบันพระมหากษัตริย์ ดวงวิญญาณดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า ขอบุญกุศลจงน้อมรวมลง เกิดเทพฤทธิ์บุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เต็มกำลัง ที่จะปกปักรักษาคุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และเหล่าพสกนิกรในเขตประเทศไทยทั้งหมด ให้ร่มเย็นเป็นสุขเข้าสู่ยุคชาววิไลได้โดยเร็ว
อธิษฐานขอบุญกุศลจงสว่าง ขอเทวดาพรหมคุ้มครองบุคคลทั้งหลายที่มีจิตอันบริสุทธิ์สัตย์ซื่อในการที่จะช่วยทำนุบำรุงรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินนี้ให้เจริญรุ่งเรืองร่มเย็น ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ก่อเกิดบารมี อยู่ในจุดอยู่ในตำแหน่ง อยู่ในหน้าที่ อยู่ในอำนาจที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ขอบุคคลทั้งหลายที่คิดร้ายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จงแพ้ภัยตนเอง เป็นไปตามผลแห่งกรรม ขอกำลังแห่งสัตยาฐิฐานกำลังจิตที่ข้าพเจ้าน้อมรวมลงจากพระนิพพานนี้จงปรากฏเป็นสิริเป็นมงคลด้วยความกตัญญูกตเวทิตา ขอบุญกุศลนี้จงยังความเจริญ ยังประโยชน์สุข เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพพรหมเทวดาทั้งหลายได้รับรู้รับทราบในจิตอันบริสุทธิ์และคำอธิษฐานของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิดขอท่านทั้งหลายได้โมทนาบุญกับข้าพเจ้า ขอท่านทั้งหลายได้อภิบาลรักษาข้าพเจ้าและส่วนรวมด้วยเถิด
จากนั้นให้เรากำหนดจิตให้ใจเราสว่าง อทิสมานกายของเราสว่างที่สุด อธิษฐานว่าขอให้กายทิพย์ข้าพเจ้ายิ่งมีกำลัง ทั้งจากความบริสุทธิ์ จากพิจารณาตัดกิเลสความโลภโกรธหลง ขอกายทิพย์ข้าพเจ้ามีรัศมีกาย มีความสว่างจากผลจากการเจริญสมาบัติ เจริญสมาธิ เจริญพระกรรมฐาน ขอรัศมีกายอทิสมานกายข้าพเจ้ายิ่งสว่าง จากผลของการแผ่เมตตาไม่มีประมาณ ขอรัศมีกายของอทิสมานกายข้าพเจ้า อทิสมานกายนี้จงมีกำลังนำพาจิตพ้นจากอาสวะกิเลส พ้นจากแรงดึงดูดของสังสารวัฏ นำพาตนพ้นจากอำนาจเครื่องร้อยรัด คือสังโยชน์ทั้งสิบประการ กิเลสความโลภโกรธหลงทั้งปวง ยกจิตเข้าสู่พระนิพพานได้โดยง่ายโดยพลันในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
เมื่ออธิษฐานแล้วก็น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ ใช้กายทิพย์ของเรากราบแทบเบื้องพระบาทของสมเด็จองค์ปฐม เมื่อกราบแล้วเราก็พุ่งจิตกลับลงมาที่โลกมนุษย์ เป็นลำแสงสว่างคลุมกายเนื้อเราทั้งหมด อธิษฐานน้อมกระแสจากพระนิพพาน บุญจากพระนิพพานคลุมฟอกร่างกายธาตุขันธ์ทั้งหมด ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ กระแสธรรมกระแสวิมุติฟอกขันธ์ห้าร่างกายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ผมขนเล็บฟันหนังจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูกทั่วร่างกาย อัฐิทั้งหลายจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง หลอดเลือดเส้นเอ็นทั่วร่าง ขอจงเป็นแก้วใสสว่างสะอาด ขอเซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วน อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกาย ขอจงเป็นแก้วใสสว่าง ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บ เซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้อร้าย ซีส เนื้องอกทั้งหลาย จงยุบตัวจงสลายตัว จงสลายหายไป ด้วยกระแสแห่งธาตุธรรมที่ฟอกชำระ ขอเซลล์ทุกเซลล์จงมีพลัง กระแสแห่งชีวิตพลังชีวิต มีบุญหล่อเลี้ยงในเซลล์ทุกเซลล์ ขอร่างนี้ขันธ์ห้านี้จงเป็นร่างกายที่สามารถยังประโยชน์สร้างบารมีบนโลกมนุษย์ เปี่ยมด้วยบุญบารมี วาสนาราศีจงกระจ่างแจ้ง กระจ่างกระจายออก เป็นที่ประจักษ์ต่อบุคคลทั้งหลาย ขอกระแสแห่งเมตตาจิตจงประจักษ์แจ้งต่อบุคคลที่อยู่ใกล้
ขอบุญบารมีบุญราศรีของข้าพเจ้าจงปรากฏ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่เจริญด้วยอายุวัฒนะ ปณิธาน ปัญญาบารมี ปัญญาในธรรม
จากนั้นให้เราโมทนาสาธุกับบุญกุศลของกัลยาณมิตรที่เจริญพระกรรมฐานร่วมกันในวันนี้ทั้งห้าสิบสี่ท่าน อารมณ์จิตที่ทรงฌานสมาบัติของแต่ละบุคคลมีผลอานิสงส์อย่างไร เราขอโมทนาด้วย จิตของกัลยาณมิตรที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพานทุกคนทุกดวงจิต เราอนุโมทนาบุญด้วย บุญก่อเกิดไพศาล ด้วยอำนาจแห่งการเจริญมุทิตาอันไม่มีประมาณ
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุธ หายใจออกช้า ลึก ยาว โธ ครั้งที่ 2 หายใจเข้าลึกยาวธัมโม ครั้งที่ 3 หายใจเข้าช้าลึกยาว สังโฆ
จากนั้นค่อยๆถอดจิตช้าๆจากสมาธิ ด้วยความเอิบอิ่ม ด้วยความผ่องใส ด้วยใจอันเป็นสุข
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน วันนี้ก็มีเรื่องแจ้งให้ทราบ ในวันอังคารที่ 26 สิงหาคม ทางคณะผู้จัดสร้าง “พระพุทธรูปพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน” ก็จะได้นำแผ่นทองทั้ง 130000 แผ่นที่เราทุกคนได้ร่วมใช้กำลังกรรมฐานยกจิตขึ้นไปเขียนคำอธิษฐานบนพระนิพพานทั้งแสนสามหมื่นแผ่นนี้ นำไปล่วงหน้าที่โรงหล่อองค์ปฐมคือโรงหล่อป้าจำเนียร จังหวัดอุทัยธานี ใกล้วัดท่าซุง การขนส่งในครั้งนี้ทางหลวงที่ไปบได้เมตตาจัดหารถขนส่ง เป็นรถกระบะจำนวน 2 คันเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 8,500 บาท ซึ่งทางเจ้าของรถก็ได้ร่วมบุญกับการสร้างพระในครั้งนี้ด้วย ก็ขอให้เราทุกคนโมทนาบุญ และก็ขอแจ้งให้ทราบว่าในการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพานนี้ ตอนนี้ก็ยังขาดปัจจัยอยู่อีกจำนวนหนึ่ง หากท่านใดเป็นกองบุญเป็นต้นบุญ มีกำลังมีญาตธรรมที่พอสามารถจะรวบรวมเป็นกองบุญมาร่วมบุญในการจัดตั้งได้ก็ขอโมทนาบุญด้วย ซึ่งทางคณะผู้จัดสร้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนุ่ยก็ได้สละวัตถุมงคลของตนเองเป็นจำนวนมากมาให้เป็นของที่ระลึกกับผู้ที่ได้เป็นผู้นำกองบุญ ซึ่งรายละเอียดก็ได้นำแจ้งไปแล้วในหน้า Facebook ของอาจารย์เอง แล้วก็จะได้แจ้งต่อไปอีกครั้งหนึ่งในกลุ่มไลน์ และกลุ่มของการปฏิบัติเมตตาสมาธิในโอกาสต่อไป
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่ในช่วงวันอาทิตย์หน้าในการเจริญพระกรรมฐานในครั้งต่อไป
สำหรับช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่อยากให้เราทุกคนเร่งความเพียรในการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาราธนาบารมีพระมาคุ้มครองตัวเราเอง คุ้มครองประเทศไทย หรือแม้กระทั่งคุ้มครองทหารหาญที่อยู่ในแนวหน้าทุกคน ตอนนี้ยังมีกระแสวิบากที่เข้าประเทศ ซึ่งในระหว่างต่อไปใกล้นี้ก็จะมีพายุที่กำลังจะเข้า ยังมีเกณฑ์ที่กำลังจะเกิดการปะทะกันในเวลาไม่นานต่อจากนี้ ดังนั้นช่วงนี้กระแสกรรมก็ดีกระแสวิบากก็ดียังมีผลกับคนหมู่มากในประเทศ การที่เราจำนวนหนึ่งทรงอารมณ์กรรมฐานสูงสุด ช่วยกันอาราธนาบารมีพระท่านลงมาคุ้มครองชาติบ้านเมือง ก็ถือว่าเรากำลังช่วยกันปิดทองหลังพระ ช่วยกันทํานุบํารุงประคับประคองบ้านเมืองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติกันไปได้ ซึ่งสิ่งที่เราได้ทำ เทวดาพรหมทั้งหลาย พระสยามเทวาธิราช ท่านก็รับรู้รับทราบด้วยกันทั้งสิ้น หรือแม้แต่การที่เราเจริญพระกรรมฐานบอกกล่าวพระภูมิเจ้าที่ แม้แต่ในเขตดินแดนของเขมรเอง ท่านก็รับรู้รับทราบในการที่จะช่วยแผ่นดินไทย ดังถ้าเราสังเกตดูทางเขมรเองก็เกิดวิบากกรรม ยิงปืนใหญ่ปืนใหญ่ก็แตกใส่ตัวเอง หรือเยียบกับระเบิดก็เหยียบกับระเบิดตัวเอง หลายๆวิบากหลายๆอกุศล เทวดาที่ท่านเป็นสัมมาทิฐิ เทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิท่านก็ปรารถนาได้บุญกุศล การที่เราแผ่บุญกุศลถึงท่านก็ทำให้ท่านช่วย อยากให้ฝ่ายที่เป็นธรรมะชนะจากอธรรม ดังนั้นความดีที่เราทำก็ขอจงทำต่อไป ด้วยความเพียรผลแห่งการปฏิบัติในที่สุดทุกอย่างก็จะประจักษ์ว่าธรรมะชนะอธรรมแน่นอน ขอให้เราทุกคนรักษาความดีต่อไป วันนี้ขอโมทนาบุญกับทุกคน สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์